- เปตรา
นครศิลาสีชมพู ที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาวาดีมูซา
ริมทะเลทรายอาหรับของจอร์แดน
ถูกทิ้งร้างกว่า 700 ปี
ก่อนที่โยฮันน์ ลุดวิก
เบิร์กฮ่ร์คต์
นักสำรวจชาวสวิสจะเดินทางมาพบเมื่อปี 1812
สิ่งก่อสร้างที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันได้แก่
ถนนสายหลักที่ทอดขนานแม่น้ำวาดีมูซา
อาคารบ้านเรือน วิหาร สุสาน
และโรงละครหินครึ่งวงกลมซึ่งจุผู้ชมได้ 4,000 คน
องค์การยูเนสโกประกาศให้เปตราเป็นมรดกโลกเมือ่ปี 1985 แม้จะมีร่องรอยของชนชาติอื่นๆอาศัยอยู่ในเปตราก่อนหน้านี้
แต่ชาวนาบาเทียซึ่งเข้ามาตั้งรกรากระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอักบา
เมื่อราวศตวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช
คือผู้สร้างเมืองเปตรา
พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำที่มีอยู่ทั่วเมือง
ทำการค้า เก็บค่าผ่านทาง และเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กองคาราวาน
จนกระทั่งมั่งคั่งพอที่จะสร้างอาณาจักรเป็นปึกแผ่น รับอารยธรรมกรีกเข้ามาผสมผสาน รู้จักสร้างบ้านเรือน วิหาร
สุสาน โรงละครขนาดใหญ่ ถนนหนทาง ไปจนถึงการสร้างรูปปั้น ผลิตถ้วยโถโอชาม
อันเป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมในตะวันออกกลางที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง และที่สำคัญที่สุด
ชาวนาบาเทียเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการชลประทานและการทดน้ำ ซึ่งเห็นได้จากหลักฐาน เช่น ท่อลำเลียง น้ำ
ทำด้วยดินเหนียว เส้นผ่านศูนย์กลาง
7 นิ้ว
เปตราเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำสำคัญกลางทะเลทราย และตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าสำคัญสองสาย
ทั้งเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก
ที่เชื่อมระหว่างคาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียไปถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายเหนือ-ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับกรุงดามัสกัสของซีเรีย บันทึกของสตราโบ นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก บอกว่า
เปตราเป็นตลาดขายสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก
ทั้งยางไม้หอม กำยาน เครื่องเทศ
ทองแดง เหล็ก เครื่องปั้นดินเผา และผ้าย้อม
ล้วนลำเลียงผ่านเปตราทั้งสิ้น
แต่เมื่อเกิดเส้นทางการค้าใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่า เปตราก็เริ่มเสื่อมถอย
ก่อนถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. 106 อีกทั้งแผ่นดินไหวเมื่อราวปี ค.ศ. 363
ก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานลง
หลังจากถูกมุสลิมยึดครอง
เปตราก็ค่อยเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน
ในปี 1812 โยฮันน์ ลุดวิก เบิร์กฮาดต์ นักสำรวจชาวสวิส
ได้ผ่านไปพบหน้าผาอันใหญ่โตของเปตราและจดบันทึกไว้โดยไม่ได้ลงไปสำรวจ ถึงแม้จะเป็นบันทึกเล็กๆ
แต่เบิร์ฮาดต์ก็ถือเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้ไปเยือนเปตรา
และนำนครที่ถูกลืมสู่สายตาชาวโลกอีกครั้งในหนังสือ Travels
in Syria and the Holy Land ใช้ชื่อผู้แต่งว่า John Lewis Burckhardt
ขณะนี้การสำรวจทางโบราณคดี ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ
ยังคงดำเนินอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น