วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เปตรา


  •  เปตรา




นครศิลาสีชมพู ที่ซุกซ่อนอยู่ในหุบเขาวาดีมูซา ริมทะเลทรายอาหรับของจอร์แดน  ถูกทิ้งร้างกว่า 700 ปี  ก่อนที่โยฮันน์  ลุดวิก เบิร์กฮ่ร์คต์  นักสำรวจชาวสวิสจะเดินทางมาพบเมื่อปี 1812  สิ่งก่อสร้างที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันได้แก่  ถนนสายหลักที่ทอดขนานแม่น้ำวาดีมูซา  อาคารบ้านเรือน  วิหาร  สุสาน  และโรงละครหินครึ่งวงกลมซึ่งจุผู้ชมได้ 4,000 คน  องค์การยูเนสโกประกาศให้เปตราเป็นมรดกโลกเมือ่ปี 1985    แม้จะมีร่องรอยของชนชาติอื่นๆอาศัยอยู่ในเปตราก่อนหน้านี้  แต่ชาวนาบาเทียซึ่งเข้ามาตั้งรกรากระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอักบา เมื่อราวศตวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช  คือผู้สร้างเมืองเปตรา  พวกเขาอาศัยอยู่ในถ้ำที่มีอยู่ทั่วเมือง  ทำการค้า  เก็บค่าผ่านทาง  และเป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กองคาราวาน  จนกระทั่งมั่งคั่งพอที่จะสร้างอาณาจักรเป็นปึกแผ่น  รับอารยธรรมกรีกเข้ามาผสมผสาน  รู้จักสร้างบ้านเรือน  วิหาร  สุสาน  โรงละครขนาดใหญ่  ถนนหนทาง ไปจนถึงการสร้างรูปปั้น  ผลิตถ้วยโถโอชาม  อันเป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมในตะวันออกกลางที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง  และที่สำคัญที่สุด  ชาวนาบาเทียเป็นเจ้าของเทคโนโลยีการชลประทานและการทดน้ำ  ซึ่งเห็นได้จากหลักฐาน เช่น ท่อลำเลียง  น้ำ  ทำด้วยดินเหนียว  เส้นผ่านศูนย์กลาง 7 นิ้ว

           เปตราเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำสำคัญกลางทะเลทราย  และตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าสำคัญสองสาย ทั้งเส้นทางสายตะวันออก-ตะวันตก  ที่เชื่อมระหว่างคาบสมุทรอาหรับกับอ่าวเปอร์เซียไปถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  และสายเหนือ-ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับกรุงดามัสกัสของซีเรีย  บันทึกของสตราโบ  นักภูมิศาสตร์ชาวกรีก บอกว่า เปตราเป็นตลาดขายสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออก  ทั้งยางไม้หอม  กำยาน  เครื่องเทศ  ทองแดง  เหล็ก  เครื่องปั้นดินเผา  และผ้าย้อม  ล้วนลำเลียงผ่านเปตราทั้งสิ้น  แต่เมื่อเกิดเส้นทางการค้าใหม่ที่ปลอดภัยและสะดวกกว่า  เปตราก็เริ่มเสื่อมถอย  ก่อนถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ. 106  อีกทั้งแผ่นดินไหวเมื่อราวปี ค.ศ. 363 ก็ได้ทำลายอาคารและระบบชลประทานลง  หลังจากถูกมุสลิมยึดครอง  เปตราก็ค่อยเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

          ในปี 1812 โยฮันน์ ลุดวิก เบิร์กฮาดต์  นักสำรวจชาวสวิส  ได้ผ่านไปพบหน้าผาอันใหญ่โตของเปตราและจดบันทึกไว้โดยไม่ได้ลงไปสำรวจ  ถึงแม้จะเป็นบันทึกเล็กๆ แต่เบิร์ฮาดต์ก็ถือเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ได้ไปเยือนเปตรา และนำนครที่ถูกลืมสู่สายตาชาวโลกอีกครั้งในหนังสือ Travels in Syria and the Holy Land ใช้ชื่อผู้แต่งว่า John Lewis Burckhardt
 ขณะนี้การสำรวจทางโบราณคดี ซึ่งเริ่มขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ ยังคงดำเนินอยู่







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น